2001: A Space Odyssey

on วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

2001: A Space Odyssey ดูเสร็จต้องตีความ หนังอวกาศเงียบและเหงา ภาพยนต์เก่าแต่ได้รางวัลภาพยนต์ยิ่งใหญ่ตลอดกาลซึ่งผมขอบอกว่า หากใครที่ดูแล้วเข้าใจในรอบแรกคุณคือ "ผู้บรรลุพระธรรมฯขั้นสูง" เพราะภาพยนต์เรื่องนี้เต็มไปด้วยปรัชญา ชนิดที่เรียกได้ว่าทุกสิ่งที่ปรากฏในภาพยนต์คือสัญลักษณ์

เมื่อสองสามวันก่อนผมได้หยิบ DVD ที่สั่งซื้อผ่าน eBay เป็นหนังชุดของเจ้าพ่อผู้กำกับหนังปรัชญา Stanley Kubrick ด้วยอารมณ์อยากดูหนังเก่าๆคลาสสิคในเวลา เกือบเที่ยงคืนแม่เจ้าหนังเรื่องนี้ ทำเอาผม งง แตก ว่ามันคือหนังอะไรวะคือจะบอกว่าน่าเบื่อมั้ย...มันก็เข้าข่ายน่าเบื่อแต่ก็ต้องดูจนจบเหมือนมีอะไรบอกให้ดูจนจบ เพราะมีบทพูดแค่ 20-30 นาทีในกลางๆเรื่องให้รู้ว่าพระเอกชื่ออะไร แค่นั้น นอกนั้นเงียบ สนิดมี เพียงดนตรีประกอบที่เราคุ้นหู แถมตอนจบก็ทำเอา ดึ้งแตกไปอีก


พี่โจ๊คคนที่แนะนำผมให้ดูเรื่องนี้แล้วบอกว่า ตีความหนังให้ได้นะ ดังขึ้นมา ทำให้ผมต้องดู มันอีกรอบในวันต่อมา และก็ได้เรื่อง....ซึ่ง เรื่องมันมีอยู่ว่า....

ลิง ที่อยู่บนโลก ก็อยู่กันปรกติ วันนึงมีแผ่นหินสีดำจากนอกโลก หล่นลงมา ลิงตัวนึงไปโดนเข้า ก็หยิบเอากระดูกมา ฟาด แล้วก็ฟาดๆๆๆ แล้วก็เหวี่ยง เป็นฉากเปิดเรื่องที่ เงียบ และ ให้คิดเพราะ กระดูกชิ้นนั้น ถ้าให้ตีความคือ แท่งหินนั้นถูกส่งมาให้ เร่งวิวัฒนาการของ มนุษย์ เพราะจากที่ลิง กินแต่ผลไม้ก็มาเจอเศษกระดูกก็เริ่มมีการต่อสู้แก่งแย่งมีความรุนแรงและกินเนื้อ เกิดขึ้น

ตัดฉากมา...



มนุษย์ได้ ศึกษาเจ้าหินก้อนนี้แล้วรู้ว่ามันมีอีกอันอยู่บนดวงจันทร์ก็เลยเดินทางไปดวงจันทร์ สำเร็จแล้วก็พบและ ได้ ก็มนุษย์ก็ได้คำนวณหา แท่งหินก็ได้ทราบว่าบนดาวพฤหัสบดี มีอีกแท่งนึง

ปี 2001 [ผ่านมาแล้วนี่?] พระเอกของเรานาย ดร.โบวแมน เลยออกแบบ HAL คอมพิวเตอร์อัจฉริยะที่จะควบคุมการเดินทาง อันเวิ้งวางนาบเนิ่น เงียบๆ และมีดนตรี บรรเลง เบาๆชวนง่วงหากใครไม่ใช่คนบ้าหนังหลับไปนานแล้ว...


หนังก็เลยเอา ความตื่นเต้น น้อยนิด เกี่ยวกับเจ้า HAL มานิดนึงโดยเขียนให้มันขัดข้องเล็กน้อยทำให้ พระเอกต้องแก้ปัญหาของมันก่อนจะสายเกินแก้ น่าจะเป็นไอเดียที่บรรเจิดในยุคนั้นเป็นต้นแบบให้หนังอวกาศสมัยใหม่เลียนแบบกันเกี่ยวกับ การขัดข้องของหุ่นยนต์ควบคุม

และแล้วหนังก็ พาเราไปสู่ปลายทางของ จักรวาลที่ที่ พระเอกของเราจะพบแท่งหินนั้นอีกครั้ง แต่ สถานที่พระเอกของเราพบก็คือ ห้องสวีทหรูๆห้องนึง มีเฟอร์นิเจอร์เพียบ มีห้องครัว มีห้องนอน และปราศจากเสียงเพลงบรรเลงและ เสียงหายใจของพระเอก คือจะบอกว่ามันเงียบ... ถ้าห้องคุณเปิดหนังเรื่องนี้ ไม่เปิดพัดลมหรือ แอร์ คุณก็จะรับรู้ถึงความเงียบ...ของฉากนี้


และความลับของจักรวาลก็ปรากฏขึ้นเมื่อพระเอก ดร.โบว์แมน ในชุดนักบินอวกาศของเราได้มองไปที่ห้องครัวเห็นตัวเองกำลังทานข้าวและก็เดินมานั่งที่โต๊ะ เห็นตัวเองในวัยกลางคนกำลังนั่ง จ้องไปที่เตียง แล้วก็เห็น ตัวเองในวัยชรากำลังนอนซมและชี้ไปที่แท่งเหล็ก แล้วก็กลายเป็น ทารก คอยจับจ้อง อวกาศ เป็นร่างอวตารที่ลอยไป รอบๆโลกและท่องไปทั่ว จักรวาล จบ....แบบเงียบๆ ปนขนลุก นิดๆ



คำตอบที่คิดไว้ หลังจากดูรอบสองเสร็จ แท่งหินนั่นน่าจะเป็นเครื่องมือของจักรวาลเพื่อทำการกำหนดว่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยบนดาวเคราะห์ต่างๆเริ่มวิวัฒนาการมีความรู้มากขึ้นหรือไม่ จึงตั้งโจทย์ให้มนุษย์เดินทางไปอวกาศ เมื่อวันที่มนุษย์เริ่มเดินทางบนอวกาศได้ ซึ่งก็คือเมื่อมนุษย์ไปลงดวงจันทร์แล้วค้นพบแท่งหินที่ดวงจันทร์
เมื่อสัมผัสแท่งหินบนดวงจันทร์ แท่งหินก็จะส่งสัญญาณไปที่ดาวพฤหัสทันที เป็นการสอนหรือวิวัฒนาการ เหมือนประหนึ่งว่าภาพยนต์เรื่องนี้คือการเรียนรู็้ตามบทเรียน

ส่วนการที่โบว์แมนพระเอก ไปพบแท่งหินที่ดาวพฤหัสนั้นน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ เลยโดนจักรวาลเอาตัวไปศึกษา แล้วเปลี่ยนโบว์แมนให้กลายเป็นเช่นเดียวกับจักรวาลเป็นร่างเด็กที่ อวตารลอยไปมาบนเอกภพจากการเร่งวิวัฒนาการของเค้าเอง

ก็อาจจะตีความต่างๆนาๆกันไปแต่ถ้าดูแล้วจะทราบว่าทุกฉากที่ปรากฏในหนังเป็นสัญลักษณ์ครับ เหมาะแก่นักศึกษาวิชาปรัชญา

ส่วนคำตอบของผมของหนังเรื่องนี้ อาจจะตอบสั้นๆว่า
"เราก็คือส่วนหนึ่งของเอกภพ นี้"
ปวดหัวจริงๆหนังเจ้าพ่อปรัชญา ไว้ดูเรื่องอื่นจะมา note ให้อ่านกันอีกนะ พี่น้อง....